ปี 1969 เราได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของ JBL ไปแล้วครั้งหนึ่งเนื่องจากการเสียชีวิตของ Jim Lansing ในปีนี้เองที่ Bill Thomas ขาย JBL ให้กับ Jervis Corporation และเป็นปีสุดท้ายของการเป็นบริษัทอิสระ Tom Jennings, ซึ่งเป็น Vice President of Marketing ของ Thomas ได้รับมอบหมายให้หาผู้ซื้อบริษัท เขานึกถึง Dr. Sidney Harman ซึ่งเป็นแกนนำของ Jervis Corporation และมีความสนใจที่จะขยายบริษัทในตลาดเครื่องเสียงเพิ่มเติมจากตลาดอิเล็กทรอนิกส์ Jennings ได้จัดให้ทั้งสองบริษัทพบกัน และเจรจาต่อรองการซื้อบริษัท Jervis ได้สิทธิเต็ม 100% ในการเป็นเจ้าของ JBL และควบคุมบริษัทได้อย่างสมบูรณ์ Thomas ก็ไม่ถึงกับหมดบทบาทในการมีส่วนร่วมกับ JBL เขาได้นับมอบตำแหน่งจากบอร์ดบริหารของ Jervis ในตำแหน่ง Honorary Chairman of JBL
ในช่วงที่ JBL อยู่ภายใต้การนำของ Thomas จะเน้นตลาดเฉพาะด้าน, เจาะไปที่ตลาดลำโพงไฮเอ็นด์ ในขณะที่ Dr. Harman กลับสนใจในการปรับให้แบรนด์ของ JBL เข้าถึงได้ในตลาดทุกระดับ โดยสินค้าที่เปิดตัวที่กลายมาเป็นขวัญใจมหาชนคนออดิโอของ JBL นั่นคือลำโพง L100 มองด้านเทคนิคแล้ว L100 ไม่ได้เป็นลำโพงที่เริ่มต้นจากศูนย์ แต่เป็นการนำเอามอนิเตอร์ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงรุ่น 4310 มาทำตู้แบบใหม่ ความสำเร็จของลำโพง L100 อยู่ที่ยุทธศาสตร์การตลาดเบื้องหลังต่างหากที่เป็นตัวผลักผลักดัน Larry Phillips ผู้ทำหน้าที่ด้านการตลาดในประเทศ ได้เขียนแผนโปรโมทจากพื้นฐานความสำเร็จในปัจจุบันของ JBL โดยนำเอาความสำเร็จในลำโพงโปรเฟสชันแนลเป็นตัวชูโรงในการทำตลาดลำโพงบ้าน ในปี 1970 ลำโพงมอนิเตอร์ 4310 ประสบความสำเร็จ และได้กลายเป็นมาตรฐานของสตูดิดอในยุคนั้น Philips ได้วางแนวเคมเปญด้านการตลาดว่าลำโพง L100 เป็นลำโพงที่ถูกเลือกโดยมืออาชีพ ซึ่งมันก็ได้พิสูจน์ตัวด้วยความสำเร็จล้นหลาม
ช่วงเวลาแห่งความสำเร็จของ L100 มีบทบาทต่อจำนวนนักเล่นในตลาด ในยุคเริ่มต้นของตลาดไฮไฟในอดีตจำนวนนักเล่นมีไม่มากนัก เนื่องจากเป็นงานอดิเรกที่ใช้ทุนทรัพย์สูง และคนส่วนใหญ่เพิ่งฟื้นตัวจากเศรษฐกิจตกต่ำ จำนวนนักเล่นเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในยุคปี 70s เพลงป๊อปกระจายสู่นักฟังวัยรุ่น และนักฟังรุ่นใหม่ๆก็มีทุนทรัพย์สูงกว่าในอดีต ลำโพง L100 มีคุณสมบัติโดดเด่นโดนใจนักฟังอายุไม่มากนัก สุ้มเสียงของ L100 เป็นที่ทราบกันดีถึงเสียงเบสส์หนักหน่วง, ให้ไดนามิคเสียงที่เหมาะสมกับดนตรีร็อคที่เป็นคำจำกัดความของวัยรุ่นในยุค นั้น ภาพลักษณ์ของ L100 ยังก้าวพ้นภาพลักษณ์เดิมๆของลำโพงคู่แข่งรายอื่นๆที่หน้าตาลำโพงแบบ เฟอร์นิเจอร์โบร่ำโบราณ โดย L100 กลับใช้กริลล์หน้าลำโพงเป็นโฟมขึ้นรูปที่ออกแบบโดย Arnold Wolf ทำให้ลำโพงมีหน้าตาที่ร่วมสมัยกลายมาเป็นอัตลักษณ์ และยังตอกย้ำความเป็น L100 โดยภาพโฆษณาที่มีชื่อเสียงที่สุดในยุค 1970s ชื่อภาพ “Blown Away,” ซึ่งมีต้นกำเหนิดจากเคมเปญโฆษณาของ Hitachi Maxell
ในยุคที่ JBL บริหารโดย Dr.Harman จะมีการพัฒนาลำโพงขนาดใหญ่หลายขนาดหลากแบบ แต่มีอยู่หนึ่งที่ดูโดดเด่นประกอบไปด้วยไดร์เวอร์เบสส์ 15″ สองตัว ติดตั้งในแนวตั้ง ด้านบนมีไดร์เวอร์ขนาด 12″ driver, มีฮอร์น/เลนส์ และทวีตเตอร์แบบสล็อต นี่คือต้นแบบลำโพงที่มีผลต่อการพัฒนาสตูดิโอมอนิเตอร์ของ JBL ในกลางยุคปี 70s.
ต้นแบบนี้คิดค้นจากมันสมองของ Walter Dick ซึ่งเป็นแนวหน้าฝ่ายวิศวกรรมทราสดิวเซอร์ของ JBL เป็นหน่วยงานที่เกิดการเรียกชื่อที่ผิด ตั้งแต่รับผิดชอบในด้านวิศวกรรมให้กับระบบลำโพงทุกประเภท ทั้งลำโพงโปรเฟสชันแนล และคอนซูเมอร์ รวมถึงตัวทรานสดิวเซอร์ หรือไดร์เวอร์, เน็ตเวิร์ค, ตู้ลำโพง, และภาพรวมของพารามิเตอร์ของระบบลำโพง ในปี 1971, Walter ได้พัฒนาลำโพงที่ JBL ต้องการนำไปใช้ทำกรณีศึกษาในงานที่ Audio Engineering Society (AES) เขาได้กำหนดพารามิเตอร์ของระบบลำโพงโปรเฟสชันแนล แบบไม่ได้ขนานกันเพื่อให้พลังงานเสียงเอาต์พุตแรงขึ้น และมีความแม่นยำมากขึ้น
ระบบลำโพงที่กล่าวถึงใช้ไดร์เวอร์เบสส์รุ่น 2216 สองตัวซึ่งเป็นไดร์เวอร์, ซึ่งเป็นไดร์เวอร์ของลำโพงโปรเฟสชันแนลที่เทียบเท่ากับไดร์เวอร์รุ่น LE15B ที่ถูกพัฒนาสำหรับใช้งานในลำโพงรุ่น L200 ใช้ไดร์เวอร์มิด-เบสส์รุ่น 2130, ส่วนไดร์เวอร์เสียงกลาง และแหลมเป็นรุ่น 2440 และ 2405 เป็นระบบลำโพงที่ต้องใช้ไบ-แอมป์ แยกสำหรับขับเบสส์ และกลาง/แหลม และมีชื่อเล่นว่า “Texas Bookshelf”
ระบบลำโพงนี้ได้สำแดงพลังเสียงในงาน AES ได้อย่างน่าทึ่ง Walter Dick พบว่ามันมีความน่าสนใจมากพอที่จะนำเอาลำโพงต้นแบบนี้มาพัฒนาต่อให้เป็น ผลิตภัณฑ์จริงๆ โดยต้นแบบนี้ยังไม่ได้มุ่งเน้นไปที่กลุ่มตลาดใดในขั้นต้นของการออกแบบ เขาพบว่าการปรับไปใช้งานสำหรับสตูดิโอมอนิเตอร์ดูจะเข้าทีสำหรับแนวทางของ ลำโพงต้นแบบนี้ ในยุคนั้นดนตรีร็อคกลายเป็นศูนย์กลางของสังคงป๊อบในยุค 1970s แนวเพลงแบบนี้ต้องการระดับความดังของเสียงในระดับสูง ซึ่งในยุตนั้นนิยมใช้ Altec 604 และลำโพงมอนิเตอร์ JBL 4320 ยังไม่สามารถรับมือกับเพลงแนวนี้ได้อย่างเพียงพอ
Dick ได้สนองตอบต่อความต้องการนี้โดยพัฒนาต้นแบบลำโพงออกมาเป็น มอนิเตอร์รุ่น 4350 โดยได้จ้างวิศวกรชื่อ Pat Everidge เป็นผู้พัฒนา โดยมี Ed May รับผิดชอบในการพัฒนาไดร์เวอร์เบสส์รุ่นใหม่สำหรับระบบลำโพงนี้นั่นคือ ไดร์เวอร์เบสส์รุ่น 2230 เป็นไดร์เวอร์ขนาด 15″ ของ JBL ตัวแรกที่มีการแดมป์กรวยลำโพงโดยวัสดุที่เรียกว่า Aquaplas เพื่อป้องกันการเรโซแนนซ์ที่ความถี่ต่ำ และเพิ่งการตอบสนองของเสียงเบสส์ให้ลงได้ลึกมากขึ้น Ed ยังได้พัฒนาไดร์เวอร์ขนาด 12″ นั่นคือรุ่น 2202 สำหรับใช้เป็นไดร์เวอร์สำหรับมิด-เบสส์ของลำโพงนี้ และใช้มิดเรนจ์ 2440 และทวีตเตอร์ 2405 ที่มีอยู่แล้ว
ระบบลำโพงที่เกิดขึ้นมาใหม่นี้เป็นแบบสี่ทางซึ่งยังไม่เคยมีมาก่อนในวงการ สตูดิโอมอนิเตอร์ ส่วนใหญ่สตูดิโอมอนิเตอร์จะถูกออกแบบสร้างเป็นระบบสองทาง แนวคิดของลำโพงสี่ทางมีจุดเด่นสองนัย—เพิ่มความแม่นยำ และเพิ่มระดับเอาต์พุต เนื่องจากแต่ละย่านความถี่เสียงถูกแยกออกเป็นสีส่วน ทำให้ไดร์เวอร์แต่ละความถี่ทำงานในช่วงแบนด์วิดธ์แคบๆทำให้ไดร์เวอร์แต่ละ ตัวมีความเป็นเชิงเส้นมากขึ้น เนื่องจากไดร์เวอร์รับกำลังแยกแต่ละความถี่ทำให้ การรับกำลังรวมสูงขึ้น ทำให้ไดนามิคเรนจ์เพิ่มขึ้น และระดับเสียงเอาต์พุตได้แรงขึ้น
ลงลึกไปในแนวการสร้างของลำโพง 4350 จะพบว่ามีการออกแบบระบบ และเน็ตเวิร์คที่มีความซับซ้อน เพื่อสนองตอบกับความต้องการผลการทำงานตามเป้าหมายการออกแบบ ในอดีตที่ผ่านมาไม่เว้นแม้กระทั่งลำโพง Paragon, ระบบลำโพงของ JBL ถูกออกแบบให้ใช้อรรถประโยชน์จากส่วนประกอบของลำโพงทุกส่วนมากที่สุด นั่นหมายความว่าคุณภาพของระบบไม่ได้มีเพียงเฉพาะคุณภาพของไดร์เวอร์เท่านั้น แต่ยังมาจากการออกแบบด้านวิศวกรรมของการออกแบบลำโพงด้วย ทำให้ได้มอนิเตอร์ที่เหนือกว่าดังเช่นรุ่น 4350 การพัฒนาแนวทางนี้เป็นแกนหลักที่ยังคงอยู่ของลำโพงรุ่นคลาสสิคของ JBL มาถึงทุกวันนี้
หัวใจของการออกแบบระบบคือการจัดเน็ตเวร์ค มอนิเตอร์รุ่น 4350 ใช้เน็ตเวิร์คไฮบริดจ์ทั้งพาสซีพว์ และแอ็คทีพว์ เพื่อให้การตอบสนองของระบบมีความแม่นยำสูงสุด และรับกำลังขับได้สูง ดังนั้นมอนิเตอร์ 4350 จึงเป็นมอนิเตอร์ของ JBL รุ่นรกที่ต้องใช้แอคทีพว์ครอสส์โอเวอร์เน็ตเวิร์ค ซึ่งไดร์เวอร์เบสส์ทั้งสองตัวต้องขับผ่านแอมป์แยกกันอิสระสองตัว ระบบอิเล็กทรอนิกส์ครอสส์โอเวอร์ถูกออกแบบมาเพื่อให้สามารถสอดการ์ดสำหรับ ปรับแต่งพารามิเตอร์สำหรับระบบที่แตกต่างกัน การ์ดที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับรุ่น 4350 จะทำการปรับความถี่จุดตัดระหว่างไดร์เวอร์เบสส์ และพาสซีพว์เน็ตเวิร์คกลางแหลมที่จุดตัด 250Hz โดย Pat Everidge ออกแบบให้มีการใช้พาสซีพว์ครอสส์โอเวอร์เน็ตเวิร์คสำหรับไดร์เวอร์ มิด-เบสส์, มิดเรนจ์, และไดร์เวอร์ความถี่สูง เน็ตเวิร์คลักษณะนี้มีจุดเด่นเหนือกว่าครอสส์โอเวอร์ทั่วๆไปที่ JBL ใช้สร้างลำโพงรุ่นอื่นๆ เพราะมันจะให้การตอบสนองความถี่ได้ดีที่สุดสำหรับไดร์เวอร์ทั้งสามชุดของ 4350 โดยสามารถปรับพารามิเตอร์ของระบบได้ทั้งระบบ
ระบบมอนิเตร์ 4350 เปิดตัวครั้งแรกในปี 1973 ได้รับการตอบรับอย่างกว้างขวาง อย่างเช่น วง The Who นำ 4350 ไปติดตั้งในสตูดิโอส่วนตัวถึงสิบสองตัว Dick พบว่ามอนิเตอร์สามารถพัฒนาให้อยู่ในกรอบแนวคิดนี้นั่นคือ การผลการตอบสนองแบนด์วิดธ์กว้าง และรับกำลังขับได้สูง เหมือนกับพื้นฐานการออกแบบของ 4350 ซึ่ทำให้ช่วงปี 1973-1974, เขาได้พัฒนามอนิเตอร์สี่ทาง, สามทาง, และสองทาง ที่เป็นรู้จักกันว่าเป็นลำโพงมอนิเตอร์ขนาดใหญ่การแยกขนาดจะพิจารณาจากขนาด ไดร์เวอร์เบสส์ 15″ ใช้ในการฟังแบบฟาร์-ฟิลด์ ห่างจากผู้ฟังอย่างน้อย 8 ฟุต มอนิเตอร์ที่พัฒนาต่อมาได้แก่ 4340/4341, 4332/4333 และ 4330/4331 โดยการกำหนดรุ่นเป็นชุดเลขคู่กันเป็นการระบุว่าเป็นรุ่นที่ใช้พาส ซีพว์ครอสส์โอเวอร์อย่างเดียว หรือสามารถใช้งานในลักษณะไบ-แอมป์ได้ด้วย (ตัวเลขน้อยกว่าจะเป็นเวอร์ชันที่เล่นไบ-แอมป์ได้)
การพัฒนาระบบมอนิเตอร์รุ่นรองลงมา Ed May ได้ออกแบบเบสส์ไดร์เวอร์ที่กลายมาเป็นมาตรฐานของระบบมอนิเตอร์ของ JBL ที่ผลิตในช่วงยี่สิบปีต่อมา มันคือไดร์เวอร์ 2231, ซึ่งเป็นไดร์เวอร์แบบเดียวกับลำโพงคอนซูเมอร์รุ่น 136A ภายหลังการพัฒนา 4350 ไดร์เวอร์ขนาด 15″ ที่กลายเป็นมาตรฐานของ JBL สำหรับลำโพงมอนิเตอร์ และลำโพงบ้านนั่นคือรุ่น 2215/LE15A เป็นไดร์เวอร์คุณสมบัติดีมากให้การตอบสนองที่แม่นยำ แต่รับกำลังขับได้ไม่มากนัก ไดร์เวอร์รุ่น 2230 ที่ Ed May พัฒนาขึ้นมาสำหรับมอนิเตอร์รุ่น 4350 เป็นไดร์เวอร์ของ JBL รุ่นแรกที่ใช้วอยซ์คอยล์ที่มีความยาวมาก และใช้ช่องแก๊ปสั้น ทำให้รับกำลังขับได้สูงขึ้น และสัมประสิทธิ์การถ่ายเทความร้อนทำได้ดีขึ้น ยังออกแบบให้กรวยลำโพงรับการสั่นได้มากขึ้น เพิ่มไดนามิคเรนจ์ และให้ระดับเสียงเอาต์พุตแรงขึ้น
อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วว่าไดร์เวอร์ 2230 มีการเคลือบกรวยด้วย Aquaplas ทำให้เพิ่มการตอบสนองความถี่ต่ำ ทำให้ประสิทธิภาพของ 4350 สามารถตัดความถี่ต่ำลงมาที่ 250-Hz ,แต่ก็พบปัญหาอยู่ว่าที่จุดตัดความถี่สองต้องออกแบบเป็นระบบสอง หรือสามทาง การแดมป์กรวยอย่างมากทำให้การตอบสนองความถี่ย่านมิด-เบสส์ลดลง เพื่อแก้ปัญหานี้ Ed May ใช้วิธีการเพิ่มวงแหวนปรับมวลซึ่งเป็นวงแหลนโลหะติดตรงรอยต่อของกรวยและ คอยล์ฟอร์ม จะ้สร้างให้มีมวลสำหรับเพิ่มความถี่ต่ำ โดยสามารถใช้กรวยที่เบาลงเพื่อเพิ่มการตอบสนองงความถี่ย่านมิด-เบสส์ การปรับปรุงทรานสดิวเซอร์นี้ได้นำไหใช้กับไดร์เวอร์ 15″ ของลำโพงมอนิเตอร์ รวมถึงรุ่น 4350 ที่ปรับปรุงใหม่ด้วย และปรับปรุงไดร์เวอร์รุ่น 136A ซึ่งจะพบในลำโพง L200B และ L300
เพื่อเติมเต็มไลน์สินค้าลำโพงมอนิเตอร์ Pat Everidge เลยออกแบบมอนิเตอร์ 4340/41 ออกมาในปี 1973 เป็นมอนิเตอร์ที่ลดสเกลลงมาจากแนวคิดของระบบลำโพงสี่ทางแบบเดียวกับ 4350 แต่ใช้ไดร์เวอร์ 2230 เพียงตัวเดียว (รุ่นหลังๆจะใช้รุ่น 2231 แทน) โดยมีมิด-เบสส์ขนาดเล็ก และคอมเพรสชันไดร์เวอร์ ออกแบบมาให้ตอบสนองย่านความถี่ได้กว้า และมีความเป็นเชิงเส้นเหมือนกับ 4350 เพียงแต่ลดขนาดลงเท่านั้นเอง มอนิเตอร์รุ่นนี้ผ่านบทพิสูจน์มากมายในความนิยมสำหรับการใช้เป็นมอนิเตอร์ และเป็นที่นิยมในการนำมาใช้งานเป็นลำโพงบ้าน โดยเฉพาะตลาดเครื่องเสียงในญี่ปุ่น
Dick ก็ยังได้จ้างพนักงานเพิ่มเติมเพื่อออกแบบลำโพงมอนิเตอร์สองทางรุ่น 4330/4331 และแบบสามทางรุ่น 4332/4333 คนนั้นก็คือ Greg Timbers ผู้ซึ่งได้กลายมาเป็นผู้ออกแบบด้านวิศวกรรมให้กับลำโพงระดับสเตต-ออฟ-ธิ- อาร์ตของ JBL ระบบลำโพงมอนิเตอร์ทั้งสองรุ่นนี้กลับไปใช้ไดร์เวอร์แบบดั้งเดิมของ JBL ในซีรีย์ D50 ที่ผลิตออกมาตั้งแีต่ยุค 1960s ดังเช่นรุ่น 4350, ได้เกิดนวัตกรรมเบื้องหลังระบบลำโพง และการรวบรวมการออกแบบทั้งหมด มีการออกแบบเน็ตเวิร์คใหม่ทั้งระบบเพื่อให้การตอบสนองโดยรวมดีขึ้น มอนิเตอร์รุ่น 4333 ให้การตอบสนองเต็มแบนด์วิดธ์ และการตอบสนองด้านกำลังราบเรียบ โดยมีขนาดตู้กระทัดรัด กลายมาเป็นมอนิเตอร์อีกหนึ่งรุ่นที่ได้รับความนิยมสำหรับลำโพงมอนิเตอร์ขนาดใหญ่ของ JBL
เพื่อให้ไลน์ของมอนิเตอร์ซีรีย์ 4300 สมบูรณ์มากขึ้น จึงมีการพัฒนานาลำโพงมอนิเตอร์ขนาดกลาง ที่ต่อมากลายเป็นต้นแบบให้กับลำโพงบ้านของ JBL ในภายหลัง มอนิเตอร์ที่ว่านี้ก็คือรุ่น 4315 ซึ่งครอบคลุมแบนด์วิดธ์ได้กว่างเหมือยกับ 4350 แต่มีขนาดเล็กกว่ามากสามารถใช้งานได้หลากหลาย เดิมทีเป็นระบบลำโพงที่เหมาะกับการนำไปใช้ในกรณีที่ระดับเสียงในสตูดิโอไม่ เหมาะกับรุ่นใหญ่กว่า แต่กลับไปเหมาะเจาะกับตลาดสตูดิโอขนาดเล็ก และสตูดิโออิสระ มอนิเตอร์รุ่น 4315 ออกแบบในแนวคิดเดียวกันกับ 4350 โดยเป็นระบบสี่ทาง แต่ใช้ไดว์เวอร์เบสส์รุ่นใหม่ขนาด 12″ (รุ่น 2203) ซึ่งถูกพัฒนามาโดยเฉพาะกับระบบมอนิเตอร์รุ่นนี้ ใช้ไดร์เวอร์มิด-เบสส์รุ่นใหม่ขนาด 8″ (รุ่น 2108), ซึ่งมีเส้นผ่าศูนย์กลางวอยซ์คอยล์ 3″ ถูกออกแบบมาเฉาพะสำหรับมอนิเตอร์ตัวใหม่นี้ใช้มิดเรนจ์รุ่น 2105 และทวีตเตอร์แบบ 2405 แบบ ring radiator
หลังจากลำโพงมอนิเตอร์รุ่นสุดท้ายเข้าที่เข้าทางในปี 1974 ก็ได้เปิดตัวเป็นมอนิเตอร์ซีรีย์ 4300 ของ JBL เป็นระบบลำโพงมอนิเตอร์ที่ครบเครื่อง เพียงแค่สามปี JBL ก็สามารถครอบครองตลาดสตูดิโอมอนิเตอร์ การเปลี่ยนแปลงของตลาดมอนิเตอร์ถูกติดตามโดยการสำรวจของวารสาร Billboard ในปี 1973, วารสารได้ตีพิมพ์ผลการสำรวจว่ามอนิเตอร์ Altec Lansing monitors ถูกใช้ในสตูดิโอบันทึกเสียงมากที่สุด ซึ่งข้อมูลนี้ Altec Lansing ก็ได้นำมาทำแคมเปญการตลาดให้กับลำโพงบ้าน และลำโพงโปรของ Altec พอมาในปี 1977 ผลสำรวจของ Billboard ออกมาทาง JBL ก็นำมาทำแคมเปญเดียวกันกับ Altec ซึ่งผลสำรวจระบุว่า JBL ได้ส่วนแบ่งการตลาดของลำโพงมอนิเตอร์ถึง 70% —มากกว่าสองเท่าของ Altec